top of page
  • Writer's pictureTan Piyatida

แสงแดดสุดท้าย

วันนี้ฉันตื่นนอนแต่เช้าตอนประมาณ 7.30 น. และรีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมไปมหาลัย โดยมีคุณแฟนสุดที่รักอาสาขับรถไปส่งจนถึงที่หมายในเวลา 9 นาฬิกากับอีกสามนาที ฉันทำการแลกบัตรห้องซ้อมที่ได้จองไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ทว่าในที่สุดก็เสียสละให้เพื่อนก่อน เพราะฉันมีสอบในเวลาช่วงเย็นของวัน มันคงจะดีถ้าให้เพื่อนที่จองห้องซ้อมตอนเช้าไม่ทันได้ใช้ก่อน... หรือได้เตรียมใจก่อนเข้าห้องเชือดนั่นแหละ ในตอนบ่ายฉันได้ฤกษ์ซ้อมเปียโนสลับกับการซ้อมฟลู้ต พูดได้ว่าเมื่อรู้สึกปวดแขนจากการซ้อมเปียโน ก็จะกลับมาซ้อมฟลู้ต และเมื่อปวดหัวจากการซ้อมฟลู้ต ก็จะกลับมาซ้อมเปียโน ซึ่งในท้ายที่สุดของวันนี้ ฉันก็จะต้องสอบเปียโนอยู่ดี ไม่ใช่ฟลู้ต

เมื่อเวลาแห่งความจริงมาถึง ฉันก็เดินเข้าห้องสอบพร้อมกับความเจ้าเข้า ให้ตายเถอะ... มือมันสั่นไปหมด แต่ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี(มั้ง) จนถึงช่วงเวลาที่แสนจะเหน็ดเหนื่อยที่สุด นั่นก็คือการนั่งรถเมล์กลับบ้าน ฉันได้นั่งข้างเด็กผู้ชายคนหนึ่งน่าจะเป็นเด็กมอปลาย ซึ่งน้องคนนี้ได้หลับใหลไปอย่างไร้สติ จนมีการสัปหงกเกิดขึ้น นั่นยิ่งทำให้ฉันลุ้นว่า ศีรษะของน้องเขาจะฟาดมาที่ไหล่ของฉัน หรือฟาดเบาะนั่งข้างหน้ากันแน่ เวลาผ่านไปสักพักก็ดูเหมือนว่ารถเมล์ไม่มีท่าทีที่จะขยับเลยสักนิด เนื่องจากการจราจรอันแสนวุ่นวายของประเทศไทย

ด้วยความเบื่อหน่ายและหวาดเสียวกับการสัปหงกของคนข้างๆ ฉันจึงมองออกไปนอกหน้าต่างจนสายตาได้กระทบกับแสงแดดสีส้ม บวกกับท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ทำให้ดูสบายตามากยิ่งขึ้น มันเป็นการผสมผสานระหว่างสีฟ้าและสีส้มได้อย่างลงตัว ฉันดื่มด่ำช่วงเวลาที่งดงามนี้ไปสักพัก จนกระทั่งแสงสุดท้ายของวันได้ลับหายไป และในตอนนั้นเองมันก็ทำให้ฉันได้รู้ว่า รถเมล์ยังคงอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน รวมถึงน้องผู้ชายที่นั่งข้างๆก็อาจจะหลับไปถึงปีหน้า


ขณะนั้น ฉันก็เริ่มสังเกตเห็นเส้นสีขาว งอกออกมาจากแขนขาของน้องที่นั่งอยู่ข้างๆ มันแผ่กระจายไปรอบๆ และดูดกลืนเอาพื้นที่ข้างๆ ไปเสียหมด เก้าอี้ข้างๆ หน้าต่าง ทางเดินแคบๆ ระหว่างเก้าอี้ ลามไปจนถึงเพดานที่มีพัดลมเก่าๆ หมุนอยู่อย่าเกียจคร้าน เส้นสีขาวเหล่านั้น ดูสว่างไสว มีชีวิต และสร้างความอบอุ่นอย่างประหลาด ทุกคนจ้องมองมันด้วยสายตาแห่งความหวังว่ามันอาจจะนำพาชีวิตที่แสนจะจำเจนี้ไปสู่สิ่งใหม่ที่น่าตื่นเต้น ไม่มีใครขยับตัว ทุกคนจ้องมองมันราวกับตกอยู่ในภวังค์ เส้นเหล่านั้นค่อยๆ ขยายตัวออกจนครอบคลุมไปทุกตารางนิ้วของรถ มันเปล่งแสงประกาย เข้าโอบอุ้มร่างกายของทุกผู้คนไว้ด้วยดวามหวังและความอบอุ่น แสงสีส้มและฟ้าของแดดยามเย็นกำลังจะสิ้นไป แต่ไม่มีใครสนใจมันอีก เนื่องด้วยปรากฏการณ์แปลกประหลาดภายในรถกลบวินาทีแห่งความงามนั้นไปเสียสิ้น แสงสว่างในรถจากเส้นสีขาวสว่างขึ้นๆ และทำให้ดวงอาทิตย์ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ถึงกับหมดความหมาย ในนาทีนั้น ความกังวลที่เกิดขึ้นมาทั้งวันมลายหายไปสิ้น

พร้อมกับแสงแดดสุดท้ายที่จากไป เราทัุกคนก็ถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ในเส้นสีขาวที่บัดนี้อยู่ในทุกมวลอณูของรถ และเริ่มลามไปยังพื้นที่ภายนอก และดูยังจะไม่สิ้นสุดการเดินทางของมัน

ฉันถอนหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่มีอะไรสำคัญ เพราะคงเป็นการดีถ้าทุกสิ่งอย่างเชื่อมต่อถึงกัน เป็นสิ่งเดียวกัน การหลับ ความฝัน ความรู้ตัว การตื่น ไม่มีอะไรแตกต่าง ความจริง จินตนาการ สีสัน และแสง เราทุกคนล้วนเป็นอิสระจากพันธนาการ เพราะบัดนี้เราเป็นส่วนหนึ่งของพันธนาการนั้นเองแล้ว


มันช่างเป็นวันที่แสนจะยาวนานเหลือเกิน...




ในขณะที่ในศิลปะ Arts ก็จะเป็นวิถีที่ศิลปินนำเอาสภาวะของความฝันหรือจินตนาการมาสร้างงาน เพราะอยากให้เกิดขึ้นจริงในโลก (Imagine - John Lennon)

Fantasie No. 2 in A minor + Fantaisie Op.79

=> การลองจินตนาการถึงเรื่องราวที่คล้ายจะเหมือนจริง หรือไม่เหมือนจริง ผ่านการใช้ชีวิตประจำวันของเราเอง

0 comments
bottom of page